วงวิชาการเอชไอเอระบุอีเอชไอท่าเรือน้ำลึกเชฟรอน นครฯ บกพร่องเกินกว่ารับได้ ชี้ยกเลิกและศึกษาใหม่

เครือข่ายนักวิชาการเอชไอเอชี้รายงาน EHIA ท่าเรือน้ำลึกเชฟรอนฯ นครฯ มีข้อบกพร่อหลายจุดควรยกเลิกและศึกษาใหม่ แนะให้ชุมชนมีส่วนร่วม พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อีกทั้งยังขัดแย้งกับข้อมูลเอชไอเอชุมชนเครือข่ายประมงท่าศาลาใน 3 ประเด็นคือ 1.การเลือกพื้นที่ตั้ง 2.การกำหนดกรอบการศึกษา 3.ความรุนแรงของปัญหา พร้อมย้ำ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เหมาะเป็นเขตอนุรักษ์

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมาเครือข่ายนักวิชาการเอชไอเอ (HIA Consortium) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีเรียนรู้เอชไอเอผ่านกรณีศึกษา (HIA Case Conference) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและศูนย์สนับสนุนการปฏิบัติงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทย ของบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ที่ ต.กลาย อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ณ ห้องประชุมสานใจ 1 ชั้น 6 อาคารสุขภาพแห่งชาติ ภายในกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ นักวิชาการ นักกฎหมาย ภาคประชาสังคม เครือข่ายประมงพื้นบ้านท่าศาลา ชุมชนที่อาจได้รับผลกระทบ นักเรียนนักศึกษาและประชาชนทั่วไปเข้าร่วม

นางสาวสมพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานการพัฒนาระบบและกลไกการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ กล่าวว่า รายงาน EHIA โครงการนี้ของบริษัทเชฟรอนฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (คชก.) ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2555 ยังมีรายละเอียดของผลกระทบที่ไม่ตรงกับรายงานเอชไอเอชุมชนประมงพื้นบ้าน อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช เป็นผู้จัดทำขึ้น โดยเฉพาะใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ

1. การเลือกพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือที่ทางบริษัทฯ อ้างว่าเป็นทะเลเปิดไม่ใช่เขตพื้นที่ที่มีความสำคัญจำเพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมหรือเขตอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่รายงานของชุมชนระบุว่าพื้นที่นี้เชื่อมโยงกับระบบนิเวศที่เรียกว่า “เขา ป่า นา เล” และยังมีแม่น้ำสายสั้นไหลสู่ อ่าวท่าศาลาอีก 10 สายน้ำแหล่งแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์ลงสู่ทะเล เกิดเป็น “ดอน” ใต้ทะเลที่ชาวบ้านใช้เป็นแหล่งจับสัตว์น้ำซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจชุมชนนับหมื่นล้าน และกำลังผลักดันให้มีการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองแหล่งผลิตอาหาร

2. การกำหนดขอบเขตของการศึกษาในกรณีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการนี้ ซึ่งทางบริษัทฯ ระบุผู้มีส่วนได้เสียคือผู้ที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร รอบโครงการฯ แต่ชุมชนมองว่าการขุดร่องน้ำลึกเพื่อสร้างท่าเรือกระทบต่อการประมงที่เกิดขึ้นของทั้งอ่าวซึ่งในอ่าวนี้มีชาวประมงจากต่าง ตำบล ต่างอำเภอ และต่างจังหวัดเข้ามาหากินกว่า 2,000 ลำ รวมทั้งกลุ่มคนที่อยู่ในธุรกิจต่อเนื่องด้วย

3. ความรุนแรงของปัญหาซึ่งจากรายงาน EHIA ของโครงการนี้ระบุว่ามีเรือประมงเพียงไม่กี่ลำที่ได้รับผลกระทบจึงมีมาตรการเยียวยาให้กับกลุ่มนี้ได้ ในขณะที่ข้อมูลเอชไอเอชุมชนพบว่าความรุนแรงของปัญหากระจายตัวในวงกว้างกระทบต่อชาวประมงจำนวนมากที่เข้ามาหากินที่นี่และธุรกิจสัตว์ทะเลต่อเนื่อง หากวิถีประมงล่มสลายธุรกิจต่อเนื่องที่มีมูลค่าราวหมื่นล้านย่อมล่มสลายไปด้วย ดังนั้นมาตรการเยียวยาผลกระทบจึงเป็นไปไม่ได้

โครงการลงทุนของบริษัทเชฟรอนฯ ไม่ได้มีเพียงท่าเทียบเรือน้ำลึก กำแพงกันคลื่น ร่องน้ำเข้า-ออกท่าเรือ เท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่พัฒนาโครงการ 105 ไร่ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน คลังเก็บวัสดุอุปกรณ์ ลานกองวัสดุ (สำหรับวางวัสดุประเภทท่อ) คลังเก็บเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการขุดเจาะปิโตรเลียม พื้นที่สำหรับจัดเก็บขยะ และบ่อกักเก็บน้ำดิบ เป็นต้น

บทสรุปจากเวทีพบว่า EHIA

1. บกพร่องทั้งกระบวนการและเนื้อหา ทั้งนี้ข้อมูลจาก draft EHIA และ CHIA ต่างกันมากยังมีข้อขัดแย้งกัน ใน มติของคชก. ในการประชุมครั้งแรกให้นำข้อมูลของ CHIA เข้าไปร่วมในการประเมิน CHIA ช่วย empowerment ชุมชนและกำหนดการพัฒนาของพื้นที่และจะเข้าไปกำกับในขั้นตอนนโยบายได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องหาทางเชื่อมต่อ

2. ธรรมาภิลาลการเข้าถึงเนื้อหา

3. ในขั้นการกำหนดขอบเขต Public Scoping กลุ่มประมงไม่ถูกนับเป็นผู้ได้รับผลกระทบสำคัญ

ระบบ EHIA มีข้อจำกัดอยู่เยอะ มีข้อเสนอต่อ สช. ว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทที่ปรึกษาได้ทำหน้าที่ในการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้านเพื่อให้ผู้กำหนดนโยบายตัดสินใจอย่างรอบคอบรอบด้าน

ด้าน ศ.ดร.นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภาครัฐควรมีการปรับปรุงกระบวนการทำการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ด้วยการตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานที่มีผู้นำและตัวแทนชุมชนร่วมอยู่ด้วยพร้อมให้น้ำหนักกับการศึกษาเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ ขณะเดียวกันการเลือกกลุ่มตัวอย่างเพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพควรศึกษาในทุกหลังคาเรือนที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ที่จะมีโครงการหรือกิจกรรม ส่วนจะกระจายออกไปในรัศมีเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการศึกษาการกระจายของสิ่งคุกคามชนิดนั้นๆ เช่น กรณีของแก๊ส ควรเลือกจำนวนตัวอย่างตามสัดส่วนของการกระจายของแก๊สนั้น และหากมีรายละเอียดของข้อมูลจำนวนมากหรือยากต่อการทำความเข้าใจ จะต้องสื่อสารหรืออธิบายให้ประชาชนทราบ

นอกจากนี้ควรมีการฝึกอบรมการจัดทำ HIA ให้กับบริษัทที่ปรึกษาอย่างต่อเนื่อง และควบคุมด้วยการสอบ ขึ้นทะเบียน นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการที่ทำ EIA HIA ได้ พร้อมกันนั้น ควรจัดตั้งเป็นกองทุน เก็บเงินจากสถานประกอบการที่ต้องการทำ EIA HIA แล้วกองทุนมาเปิดประมูลหาบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการทำ EIA HIA เพื่อบริษัทฯสามารถทำตามหลักวิชาการได้อย่างเต็มที่

นายสุรชัย ตรงงาม ผู้อำนวยการโครงการนิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า ตามประกาศของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารราชการ รายงาน EHIA ควรได้รับการเปิดเผยอย่างโปร่งใสจาก คชก. เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 56-57 ให้การรับรองสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนโดยผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ ยังสามารถยื่นใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ.2540 เพื่อขอดูรายละเอียดรายงาน EHIA ได้ หากคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารไม่ให้เปิดเผย ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้และหากยังไม่เห็นชอบก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ทั้งนี้ ตามประกาศของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารสิ่งแวดล้อมกำหนดให้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายงาน EIA และ HIA รวมถึงรายงานการประชุมและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งทางบริษัทที่ปรึกษาหรือบริษัทเจ้าของโครงการจะอ้างเป็นความลับไม่ได้

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ขนิษฐา แซ่เอี้ยว 087-695-7392